บทสรุป!! งาน “เสวนากรุงเทพจตุรทิศ” 2022 พลิกโฉมกรุงเทพยุคใหม่ อสังหาฯจะไปทางไหน??
สร้างเมื่อ Sep 30, 2022
สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ชาว Genius ทุกคนน! เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 กันยายน ที่ผ่านมาน้อง Genie มีโอกาสได้ไปร่วมงาน “เสวนากรุงเทพจตุรทิศ : พลิกโฉมกรุงเทพฯ ยุคใหม่ อสังหาฯจะไปทางไหน...?” ที่จัดขึ้นโดย บริษัท พร็อพทูมอร์โรว์ จำกัด ค่ะ โดยงานนี้จัดขึ้นเพื่อรับฟังความคิดเห็น และ แนวโน้มของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั่นเองค่ะ
ซึ่งภายในงานนั้นมีการให้ข้อมูล และ รายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ
- แนวโน้มของภาคธุรกิจอสังหาฯจะเป็นอย่างไรต่อจากนี้
- ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะส่งให้กรุงเทพฯ พลิกโฉมไปอย่างไร
- การกลับมาฟื้นตัวของภาคอสังหาฯ จะรุ่งเรืองเหมือนเดิมได้หรือไม่
- โอกาส ทางออก ทางรอดของภาคธุรกิจอสังหาฯ ท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อและเศรษฐกิจผันผวนจะส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง
- ค่าแรงต่ำขณะที่ต้นทุนการผลิตสูงอสังหาฯ ได้รับแรงสั่นสะเทือนอย่างไร
- กฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับจะทำให้อสังหาฯเติบโตหรือถูกกดทับ
- เทรนด์ และการรับมือของผู้ประกอบการต่อจากนี้จะหันไปทางไหน รวมทั้งตลาดต่างชาติยังคงพึ่งพาได้อยู่หรือไม่
ซึ่งให้ข้อมูลและบรรยายโดยผู้ทรงคุณวุฒิ และ ผู้เชี่ยวชาญ ทั้งหมด 4 ท่านได้แก่
1. คุณอิสระ บุญยัง ประธานคณะกรรมการสมาคมการค้ากลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ออกแบบและก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และนายกกิตติมศักดิ์ สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร
คุณอิสระ บุญยัง ได้เปิดเผยภาพรวมของตลาดอสังหาฯ ในกทม. และ แนวโน้มตลาดอสังหาฯในปี 2566 คือ การพัฒนาระบบรางค่ะ เพื่อให้เข้ามาแทนที่รถยนต์ จากเดิมที่มีอยู่แล้ว 100 กว่าสถานี จะเพิ่มให้เป็น 500 สถานีภายในปี 2572 เรียกได้ว่าเป็นความท้าทายที่ทางภาครัฐนั้นจะต้องเตรียมพร้อม เพื่อรองรับการพัฒนาด้านขนส่งมวลชนให้เป็นระบบ เพื่อที่จะได้สัมพันธ์ และเกิดการส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาที่อยู่อาศัยนั่นเองค่ะ
อีกทั้งยังเผยอีกว่า ควรจะมีการปรับปรุงผังเมืองในส่วนที่มีการส่งเสริมการกระจายศูนย์กลางเมืองไปทั่วกรุงเทพ ซึ่งหากมีการปรับปรุงผังเมืองดังกล่าวจะส่งผลให้มีส่วนสำคัญในการตัดสินใจของนักลงทุน และ เป็นพื้นฐานการตัดสินใจลงทุนของนักพัฒนาอสังหาฯ
ในส่วนที่ต้องปรับแก้ไข คือ การขยายอัตราส่วนพื้นที่อาคารรวมต่อพื้นที่ดิน (FAR) ควรปรับให้เกิดขึ้นในพื้นที่ใกล้เคียงได้ จะมีส่วนในการช่วยลดความหนาแน่นอน การกระจุกตัวของที่อยู่อาศัย ทำให้เมืองเกิดการกระจายตัวมากขึ้นนั่นเองค่ะ
ทั้งนี้ คุณอิสระ บุญยัง ยังได้กล่าวเพิ่มเติมอีกด้วยว่าในปี 2565 นั้นมีการเปิดตัวโครงการ และมีการเติบโตขึ้นทุกหมวดหมู่ ซึ่งในหมวดของคอนโดมิเนียมนั้นมีการเติบโตถึง 200% หรือประมาณ 37,616 หน่วย ซึ่งถือว่าเติบโตขึ้นมากเมื่อเทียบกับปี 2564 ค่ะ ที่มีการเปิดตัวประมาณ 19,863 หน่วยนั่นเองค่ะ
สำหรับแนวราบนั้นมีอัตราเพิ่มขึ้น 14% ค่ะ ก็ยังไม่ถือว่าหวือหวาเท่าไหร่ค่ะ จากตารางด้านล่าง เพื่อนๆ จะเห็นว่าโครงการบ้านจัดสรรจะบูมที่สุดในช่วงปี 2553 ซึ่งมีจำนวนอยู่ที่ 54,284 หน่วย จากนั้นในปี 2564 ก็มีการลดลงมาเหลืออยู่ที่ 30,481 หน่วย จากการคาดการณ์ในปีนี้พบว่าจำนวนหน่วบ และ มูลค่าบ้านแนวราบจะเพิ่มขึ้นจากปีก่อนไม่ต่ำกว่า 5% ค่ะ
1.1. การโอนกรรมสิทธิ์
เรามาดูในส่วนของการโอนกรรมสิทธิ์กันดีกว่าค่ะ ถึงแม้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานั้นเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงทำให้ตลาดอสังหาฯ เติบโตช้ากว่าภาวะเศรษฐกิจ แต่ยอดโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมในปี 2565 นั้นกลับลดลงไปไม่มากนัก ยังอยู่ในช่วงที่สามารถคงตัวได้นั่นเองค่ะ
สิ่งที่จะช่วยประคับประคองในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว คือการที่ภาครัฐ และ กระทรวงการคลังต่ออายุมาตรการที่ช่วยส่งเสริมการซื้ออสังหาริมทรัพย์นั่นเองค่ะ เช่น การลดค่าโอนและการจดจำนอง ซึ่งหากมีการต่อมาตรการนี้ อสังหามือสองในปีนี้ และ ปีหน้าจะมีแนวโน้มเติบโตกว่าทุกปีแน่นอนค่ะ อีกทั้งยังสามารถช่วยบ้านที่เป็น NPL ของสถาบันการเงิน อีกด้วยค่ะ
1.2. สถิติ การปรับขึ้น-ปรับลงของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
เรามาดูด้านสถิติ การปรับขึ้น-ปรับลงของอัตราดอกเบี้ยนโยบายปีที่ผ่านมากันบ้างดีกว่าค่ะ โดยอัตราดอกเบี้ยนั้นมีการปรับลงอย่างต่อเนื่องในเดือนสิงหาคม 2562 และล่าสุดที่เดือนสิงหาคม 2565 มีการปรับขึ้นมาอยู่ที่ 0.75% หากแบงก์ชาติปรับเพิ่มดอกเบี้ยที่แท้จริง 1% จะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้สูงถึง 6% - 7% นั่นเองค่ะ
และต้องบอกว่าส่งผลกระทบต่อการปรับอัตราดอกเบี้ยต่างๆ เพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะดอกเบี้ยบ้านค่ะ
- ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นสำหรับคนที่กู้ซื้อบ้านแล้ว
- จ่ายค่าเช่าบ้านเท่าเดิม
- สัดส่วนดอกเบี้ยเพิ่มมากขึ้น
- ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นสำหรับคนที่กำลังจะกู้ซื้อบ้าน
- อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น
- ภาระผ่อนชำระต่อเดือนสูงขึ้น
และล่าสุดเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2565 ที่ผ่านมานั้น ผลประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ครั้งที่ 5/2565 มีมติเป็นเอกฉันท์ ให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จากปัจจุบันที่ 0.75% เป็น 1.00% ต่อปี โดยให้มีผลทันที
1.3. ด้านกำลังซื้อของชาวต่างชาติ
- ประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI (6/2565)
สำหรับการประกาศใช้การส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI นั้นนะคะกฎหมายนี้มีมาตั้งแต่ปี 2544 ยาวมาจนถึงปัจจุบัน แต่ในปัจจุบันนั้นได้มีการกำหนดทุนจดทะเบียนบริษัทที่รับ BOI อยู่ที่ขั้นต่ำ 50 ล้านบาทค่ะ
- กฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบัน
สำหรับกฎหมายที่เอื้ออำนวยให้ชาวต่างชาติมีที่อยู่อาศัยในประเทศไทยได้ โดยผ่านเงื่อนการส่งเสริมการลงทุนขั้นต่ำที่ 40 ล้านบาท หรือจะเป็นการซื้อพันธบัตรรัฐบาล และ การลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งกฎหมายข้อนี้มีมายาวนานตั้งแต่ช่วง ม.ค. 2545 นั่นเองค่ะ
- นโยบายรัฐบาล สนับสนุนการซื้อที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติ 4 กลุ่ม
สำหรับนโยบายของชาวต่างชาติทั้ง 4 กลุ่มนะคะ ได้แก่
- ประชากรโลกที่มีความมั่งคั่งสูง (Wealthy Global Citizen)
- ผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ อายุ 50 ปีขึ้นไป (Wealthy Pensioner)
- ผู้ที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย (Work-From-Thailand Professional)
- ผู้ที่มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ (High – Skilled Professional)
ซึ่งทั้ง 4 กลุ่มนี้นะคะจะได้สิทธิพำนักในประเทศไทย และคาดว่าจะสามารถดึงดูดผู้พำนักชาวต่างชาติกลุ่มใหม่ที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดี รวมถึงผู้มีทักษะและความเชี่ยวชาญ เพื่อมากระตุ้นการใช้จ่าย การลงทุน และช่วยผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศนั่นเองค่ะ
- Long Term Visa จาก 14 ประเทศ ตามเงื่อนไขที่กำหนด
สำหรับ Long Term Visa มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2565 ที่ผ่านมา ซึ่งประเทศที่จะสามารถสมัครวีซ่าประเทศนี้ได้นั้น มีดังนี้ค่ะ
- เดนมาร์ก
- นอร์เวย์ .
- เนเธอร์แลนด์
- สวีเดน
- ฝรั่งเศส
- ฟินแลนด์
- อิตาลี
- เยอรมนี .
- สวิตเซอร์แลนด์
- ออสเตรเลีย
- สหรัฐอเมริกา
- อังกฤษ
- ญี่ปุ่น
- แคนาดา
1.4. พฤติกรรมและเทรนด์การอยู่อาศัยของคนเมือง
2. คุณเชษฐวัฒก์ ทรงประเสริฐ นักวิเคราะห์ Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
คุณเชฐวัฒก์ ทรงประเสริฐ ได้ทำการมองภาพรวมของอสังหาฯ ภายในปีนี้ และปีหน้าว่ามีแนวโน้มที่จะเริ่มกลับมาขยายตัวได้ดีขึ้น เนื่องจากว่าสภาวะเศรษฐกิจเริ่มกลับมาฟื้นตัว และกำลังการซื้อก็เริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้นด้วยค่ะ
ทำให้ตลาดอสังหาฯ ในภาคของคอนโดมิเนียมกลับมาเติบโต และมียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 30% ซึ่งส่วนใหญ่นั้นจะเป็นโครงการที่อยู่ในระดับราคาที่เริ่มต้นตั้งแต่ 1 - 3 ล้านบาทนั่นเองค่ะ
สำหรับในส่วนของอสังหาฯ แนวราบนะคะ ถึงแม้ว่าในช่วง 6 เดือนที่ผ่านนั้นในส่วนของบ้านแฝด และ ทาวน์เฮาส์จะติดลบ แต่คาดการณ์ว่าในสิ้นปีนี้ ไปจนถึงปีหน้าโครงการบ้านแนวราบนั้นจะมีแนวโน้มที่จะกลับมาเป็นบวก โดยเฉพาะกลุ่มตลาดบ้านเดี่ยวที่เป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้นค่ะ
สำหรับแนวโน้มในปี 2566 นั้นทาง EIC ได้มองว่ายอดขายจะมีการเติบโต แต่จะเติบโตในรูปแบบที่ค่อยเป็นค่อยไปมากกว่าค่ะ โดยกลุ่มที่มีความต้องการของตลาด ก็ยังคงเป็นกลุ่มคอนโดมิเนียมที่มีราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทค่ะ ในส่วนของแนวราบโดยเฉพาะบ้านเดี่ยวที่มีราคาระดับกลางๆ หรือประมาณ 6 - 10 ล้านบาท ก็จะได้รับความสนใจจากตลาดเพิ่มมากขึ้นค่ะ
ในส่วนของการโอนกรรมสิทธิ์อย่างที่คุณ คุณอิสระ บุญยัง ได้กล่าวไปแล้วในช่วงแรกนะคะ ว่า การโอนกรรมสิทธิ์ในปีนี้นั้น ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีอยู่ ซึ่งทาง EIC นั้นมองว่า ทั้งในด้านมูลค่า และ จำนวนหน่วยนั้นจะมีโอกาสเพิ่มขึ้นได้ประมาณ 4% - 5% โดยหลักๆ แล้วจะมาจากบ้านเดี่ยว และ บ้านแฝดนั่นเองค่ะ และการคาดการณ์ในปี 2023 นั้น EIC ก็ยังมองว่ามีโอกาสเติบโตในระดับที่ค่อยเป็นค่อยไปประมาณ 4% - 10% นั่นเองค่ะ
ในขณะที่อสังหาริมทรัพย์ที่เป็นมือสองนั้นได้รับผลตอบรับที่ดีมากๆ เช่นเดียวกันค่ะโดยในฝั่งของการโอนกรรมสิทธิ์นั้นเติบโตไปในระดับ 20% และในฝั่งของมูลค่านั้นโตไปในระดับ 10% เลยค่ะ
ทั้งนี้ทาง EIC ก็ได้ทำแบบสอบถาม SCB Real Estste Survey สอบถามเกี่ยวกับเรื่องการซื้อที่อยู่อาศัยในระดับราคาเท่าไหร่ ในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมาค่ะ พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่กว่า 85% สนใจเป็นที่อยู่อาศัยแบบแนวราบ และอีกกว่า 44% สนใจในระดับราคาที่ไม่เกิน 3 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับว่า เทรนด์ผู้ซื้อในช่วงนี้ชอบที่อยู่อาศัยแบบแนวราบ แต่ด้วยกำลังซื้อที่ยังไม่มากพอ จึงทำให้ตัดสินใจเลือกซื้อคอนโด และอาจจะขยับขยายไปเป็นแนวราบภายหลัง
โดยในปีนี้ตลาดที่กำลังมาแรง แซงทุกโค้งคงจะหนีไม่พ้น ที่อยู่อาศัยมือสองค่ะ เนื่องจากว่าด้วยกำลังซื้อของซื้อ และ ปัจจัยด้านราคาที่อยู่อาศัยมือสองนั้นตอบโจทย์มากกว่ามือหนึ่ง ที่อาจจะอยู่ทำเลเดียวกัน ขนาดพื้นที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งจากผลสำรวจนั้นมีผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 63% สนใจที่จะซื้อที่อยู่อาศัยมือสองค่ะ
ในส่วนของแนวโน้มของตลาดในปี 2023 นะคะ ตลาดที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และ ปริมณฑล มีแนวโนวที่จะขยายตัว และ เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แต่จะต้องเผชิญกับปัจจัยด้านลบ จากภาวะเงินเฟ้อ และ หนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งข้อนี้จะส่งผลให้การฟื้นตัวของกำลังซื้อเป็นอย่างค่อยเป็นค่อยไป อีกทั้งราคาที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มที่จะปรับสูงขึ้นจาก ต้นทุนของการก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นนั่นเองค่ะ สำหรับปัจจัยด้านบวก และ ปัจจัยด้านลบ น้อง Genie ได้ทำการแบ่งเป็นหัวข้อเพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ ซึ่งมีดังนี้ค่ะ
1. ปัจจัยบวก ภาวะเศรษฐกิจในปี 2023
- ภาวะเศรษฐกิจ และ กำลังซื้อในประเทศฟื้นตัว
- มาตรการการกระตุ้นการซื้อขายจากภาครัฐ ทั้งการผ่อนคลาย LTV และ ลดค่าธรรมเนียมการโอน และ จดจำนอง ซึงมีโอกาสต่ออายุในปีหน้าค่ะ
- การลงทุนของภาครัฐ โดยเฉพาะส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าในสายต่างๆ
2. ปัจจัยลบ ภาวะเศรษฐกิจในปี 2023
- ภาวะเงินเฟ้อ และหนี้ครัวเรือน ที่มีแนวโน้มอยู่ในระดับที่สูง
- ต้นทุนการก่อสร้างที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นวัสดุก่อสร้าง แรงงาน และ ที่ดิน จะทำให้ราคาที่อยู่อาศัยปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย
- ทิศทางดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้น
โดยเทรนด์ที่จะส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนและกำลังซื้อประกอบด้วย สังคมผู้สูงวัย เทคโนโลยี การทำงานแบบไฮบริด และการทำธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม คือเทรนด์ที่ผู้บริโภคถามหาจากนักพัฒนาฯ (ESG)ค่ะ
3. ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.เสนาดีเวลลอปเมนท์
ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ ได้กล่าวถึงภาพรวมของความต้องการของผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัย แต่ยังคงต่ำกว่าซัพพลาย ตลาดที่ยังได้รับความสนใจคือกลุ่มที่มีราคาไม่เกิน 1 - 2 ล้านบาท ซึ่งทาง SENA เองก็มีการเปิดขายคอนโดในระดับที่ราคาต่ำกว่าล้านอยู่แล้ว โดยจะให้คอนโดราคาต่ำล้านนี้เข้ามาแทนที่ ทาวน์เฮาส์นั่นเองค่ะ
อีกทั้งยังกล่าวอีกว่า ความต้องการของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยนั้นไม่สอดคล้องกับโครงการที่ Developer พัฒนาเข้าสู่ตลาด เนื่องมาจากว่าต้นทุนทั้งราคาที่ดิน วัสดุก่อสร้างมีการปรับตัวสูงขึ้นมาก แต่กำลังซื้อของผู้บริโภคนั้น ยังเน้นไปที่กลุ่มราคาต่ำ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ตลาดไม่เติบโต
ทั้งนี้ ดร.เกษรา ยังกล่าวอีกว่า การปรับเปลี่ยนผังเมืองใหม่จะเป็นตัวช่วยในการทำให้เกิดการ
กระจายตัวของหัวเมืองทั่วกรุงเทพฯ และเพื่อให้เกิดที่อยู่อาศัยในระดับราคาที่รองรับความต้องการของผู้บริโภคได้ ซึ่งการเปลี่ยนผังเมืองนั้น จะทำให้เกิดการกระจายการพัฒนารอบๆ กรุงเทพฯ ซึ่งจะสามารถช่วยทำให้ชะลอราคาที่ดิน อันเป็นต้นเหตุของต้นทุนที่สูงขึ้นค่ะ
หรืออีกแนวทางหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันเลยก็คือ ให้ภาครัฐนั้นพัฒนาในส่วนของชุมชนแออัด ซึ่งในปัจจุบันมีประมาณ 2,700 ชุมชน ซึ่งแต่ละชุมชนนั้นอยู่ในทำเลที่ค่อนข้างดีเลยทีเดียว หากมีการพัฒนาในส่วนของตรงนี้ จะเป็นการรองรับกลุ่มกำลังตลาดแรงงานที่สำคัญ ที่จะเข้ามาพัฒนาเมืองในอนาคตค่ะ ทั้งนี้ภาครัฐควรมีแนวทางในการพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อให้รองรับ และ ตอบโจทย์กับบุคคลที่มีรายได้ต่ำกว่า 20,000 บาท/เดือน หรือ ต้องมีแนวทางในการพัฒนาที่อยู่อาศัยในระดับราคา 3 แสนบาทนั่นเองค่ะ
ซึ่ง ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ ได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “การเปลี่ยนผังเมืองน่าจะทำให้เศรษฐกิจ ราคาที่ดินเปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนเดิมได้ แม้จะไม่สามารถลดราคาที่ดินได้ แต่ก็จะมีส่วนชะลอ และดีกว่าไม่ดำเนินการใดๆ เพราะบ้าน และคอนโด ที่ราคาต่ำกว่าหนึ่งล้านบาทมีตลาด แต่ผู้พัฒนาไม่สามารถพัฒนาได้ ดังนั้นจึงต้องหาแนวทางพัฒนาบ้านที่ให้ใกล้เคียงกลุ่มที่มีรายได้น้อยเข้าถึงให้ได้มากที่สุด”
4. คุณพีระพงศ์ จรูญเอก นายกสมาคมอาคารชุดไทย และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้
ทางด้าน คุณพีระพงศ์ จรูญเอก ได้กล่าว ในปัจจุบันนี้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ต้องเจอกับวิกฤติหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19, สงครามรัสเซีย - ยูเครน ไปจนถึงการช่วงชิงอำนาจทางการเมืองโลกระหว่างจีนและสหรัฐ และถึงอย่างไรนั้น ประเทศไทยก็ยังได้รับผลดีจากการที่สามารถดึงผู้คนเข้ามาเที่ยวในประเทศได้ และ ยังเป็นการช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตได้นั่นเองค่ะ
อีกทั้ง คุณพีระพงศ์ ยังกล่าวอีกว่าจะพลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพ (Wellness Destination) ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์อสังหาฯ ที่มาแรงที่สุดในตอนนี้ และจะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มลูกค้ารายใหญ่นั้นมุ่งเป้าไปที่ประเทศจีน เนื่องจากว่าที่ผ่านมานั้นประเทศจีนเป็นประเทศที่มีการซื้ออสังหาฯ และเข้ามาลงทุนในไทยเป็นอันดับหนึ่งอยู่แล้ว ในอนาคตจึงคาดการณ์ว่าจะมีการเข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทยเป็นบ้านหลังที่สอง มีการรักษาพยาบาล
นอกจากนี้หากในอนาคตสถานการณ์โควิด-19 นั้นเบาบางลง ผู้คนอาจจะกลับมาใช้ชีวิตกันมากขึ้น แต่จะต้องเผชิญกับปัญหาหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น ภาวะรถติด น้ำท่วม ราคาน้ำมันที่แพงขึ้นทุกวัน ราคาพลังงานโลก จุดนี้จึงเป็นจุดที่สำคัญที่จะทำให้ผู้พัฒนาคอนโดมิเนียมกลับมาติดตามพฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้คนนั่นเองค่ะ
และสำหรับที่อยู่อาศัยในยุคหลังโควิด-19 สถานการณ์ของกลุ่มลูกค้า ชาวต่างชาติต่อการซื้อและ การลงทุนอสังหาฯ ในประเทศไทยนั้น จะกลับมาดีขึ้น เนื่องจากการเปิดประเทศ จากนโยบายภาครัฐ และจากการเพิ่มจำนวนประชากรทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น กลุ่มแรงงานคุณภาพที่ขับเคลื่อนภาคการผลิต ทั้งกลุ่มโรงงาน และ อุตสาหกรรมก่อสร้าง โดยคนกลุ่มนี้จะเป็นผู้ซื้อรายใหม่ในอนาคตโดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑลมีการจ้างงานสูง ทั้งบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียมจะกลับมาเติบโตได้ดีค่ะ รวมไปถึงการสร้าง New S-Curve เพื่อดึงดูดให้นักลงทุนจากทั่วโลกเข้ามา จะเป็นจุดที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่น ให้กับตลาดต่างประเทศและอสังหาริมทรัพย์ได้เป็นอย่างดีนั่นเองค่ะ
5. ภาพบรรยากาศภายในงาน “เสวนากรุงเทพจตุรทิศ”
จากรูปด้านซ้ายนะคะ คือ คุณโอภาส ถิรปัญญาเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท พร็อพทูมอร์โรว์ จำกัด
ท่านต่อมานะคะ คือ คุณอัญพัชร ทรัพย์ยืนยง ผู้อำนวยการ บริษัท พร็อพทูมอร์โรว์ จำกัด
มาถึงท่านที่สาม คุณมณีรัตนะ ธนาดำรงศักดิ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท จีนี่ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด
ท่านสุดท้ายคือ คุณสุธาทร สุทธิสนธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร็อพทูมอร์โรว์ จำกัด
และจะไม่พูดถึงไม่ได้เลย คงจะเป็นดิฉันเอง Content Creator ประจำบริษัท จีนี่ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด นามว่า ประวีณา เชื้อลิ้นฟ้า ที่ได้เข้าร่วมงานสัมมนาในครั้งนี้ และได้มีโอกาสร่วมเฟรมกับคุณอัญพัชร ทรัพย์ยืนยง รู้สึกเป็นเกียรติมากค่ะที่ได้เจอ และ พูดคุยกับคุณยุ้ย ต้องบอกว่าคุณยุ้ยน่ารัก และ เป็นกันเองมากๆ เลยค่ะ ไม่แน่บทความหน้าน้อง Genie อาจจะได้มีโอกาสไปสัมภาษณ์คุณยุ้ย ฝากเพื่อนๆ ติดตามด้วยนะคะ
เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับงาน “เสวนากรุงเทพจตุรทิศ” ที่นำมาสรุปในวันนี้ ส่วนตัวน้อง Genie มีความเห็นตรงกับ ผศ.ดร.เกษรา ในเรื่องของการพัฒนาที่อยู่อาศัยให้กับชุมชนแออัดทั้ง 2,700 ชุมชน ซึ่งหากตรงจุดนี้ได้รับการพัฒนา น้อง Genie เชื่อว่าจะยิ่งทำให้เศษฐกิจภายในเมืองเฟื่องฟูขึ้นไปอีกระดับ แน่นอนค่ะ
และเราจะไม่มีทางรู้เลยว่าแนวโน้มของอสังหาฯ ในอนาคต จะเป็นอย่างไรหากไม่มีงานนี้เกิดขึ้น ทั้งหมดทั้งมวลที่น้อง Genie กล่าวมานั้นต้องขอขอบคุณ Prop2Morrow ที่จัดงานดีๆ แบบนี้ขึ้นมานะคะ แล้วน้อง Genie ก็ขอแสดงความยินดีกับงานครบรอบ 8 ปี ด้วยนะคะ ><
สุดท้ายนี้น้อง Genie อยากจะแนะนำเว็บไซต์ในการหาที่อยู่อาศัย รวบรวมห้องทุกโซน ทุกทำเล ไม่ว่าจะเป็นมือหนึ่ง หรือ มือสอง ก็มีให้เลือกแบบครบครัน อีกทั้งยังสามารถดูห้องได้ทุกที่ทุกเวลาผ่าน VR Tour ได้ที่เว็บไซต์ www.genie-property.com ได้เลยค่ะ รับรองว่า สะดวก ปลอดภัย แถมได้ห้องไวแน่นอนค่ะ
และเพื่อเป็นกำลังใจให้น้อง Genie เพื่อนๆ สามารถเข้ามาพูดคุย หรือกดติดตามข่าวสารดีๆเกี่ยวกับแวดวงอสังหาฯ และ ไลฟ์สไตล์กันได้ผ่านทางช่องทางด้านล่างนี้เลยค่าาา
LINE: @genie-property.com
FACEBOOK: Genie-Property.com
EMAIL: sales@genie-property.com
CALL CENTER: 093-232-9888,064-931-8666
WEBSITE : www.genie-property.com
แนะนำบทความที่น่าสนใจ