คอนโด High Rise กับ Low Rise แบบไหนโดนใจกว่ากัน ?
สร้างเมื่อ Sep 3, 2021
คอนโด High Rise กับ Low Rise แบบไหนโดนใจกว่ากัน ?
อยากเลือก คอนโด High Rise กับ Low Rise เลือกแบบไหนดีนะ? คำถามนี้ต้องบอกว่าแล้วแต่ความชอบส่วนตัวจริงๆค่ะ เพราะคอนโดแบบ High Rise หรือ Low Rise ต่างมีจุดเด่นต่างกัน หลายคนอาจเลือกคอนโดไม่สูงโดยเลือกจากความคุ้นเคยอารมณ์เหมือนได้อยู่บ้าน อันนี้ก็ไม่ผิดนะ แต่ถ้าคุณได้รู้ว่าคอนโดสูงมีดี ด้อยยังไงบ้าง ก็ช่วยคอนเฟิร์มการตัดสินใจของคุณได้ หรือเป็นการเปิดใจให้กับคอนโดสูงๆ เปิดประสบการณ์ใหม่ของการใช้ชีวิตของคุณก็เป็นได้ วันนี้ Genie จึงรวบรวมข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับทั้ง 2 แบบ เพื่อช่วยประกอบการตัดสินใจให้คุณได้เลือกคอนโดที่ตรงไลฟ์สไตล์คุณมากที่สุด มาดูกันเลยค่ะ
คอนโด High Rise กับ Low Rise แยกยังไง?
คอนโด Low Rise เป็นอาคารที่สูงไม่เกิน 23 เมตร มีจำนวนไม่เกิน 8 ชั้น แต่ถ้ามากกว่า 8 ชั้นขึ้นไป มีความสูงของอาคารเกิน 23 เมตรขึ้นไปคือ คอนโดแบบ High Rise และปัจจุบันคอนโดสูงที่สุดของไทย ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาและติดกับ The IconSiam มีชื่อว่า Magnolias Waterfront Residences เป็นคอนโดสุดหรู แบบ Super Luxury มีระดับความสูงที่ 317 เมตร จำนวน 70 ชั้นค่ะ ( สูงแบบที่คนไม่กลัวความสูงยังมีใจสั่นบ้างหล่ะ )
ลักษณะคอนโดแบบ High Rise
จำนวนยูนิต : ในกลุ่ม Segment คอนโดทั่วไปอย่าง Economy Class, Main Class ถึง High Class จะสร้างในจำนวนยูนิตค่อนข้างเยอะ ตั้งแต่ 400 – 1,000 ยูนิต ขึ้นไป
( กฎหมายกำหนดให้ ที่ดินต้องมีทางเข้า–ออกติดถนน กว้างขนาด 10 เมตรขึ้นไป )
ทำเล : ส่วนใหญ่จะตั้งทำเลดี อยู่ในย่านธุรกิจ ใกล้ห้างสรรพสินค้า คอมมิวนิตี้มอลล์ ใกล้แนวรถไฟฟ้าหรือถนนใหญ่ ถนนสายหลักและจุดขึ้นลงทางด่วน ของกินมีความอุดมสมบูรณ์
บรรยากาศ : อากาศถ่ายเทสะดวกปลอดโปร่ง สบาย สิ่งแวดล้อมภายนอกไม่ค่อยรบกวน แต่ภายในโครงการที่มีมากกว่า 10 ห้อง จะมีความพลุกพล่านคนเดินไปมาสูง ( บางโครงการใช้วัสดุดีเช่น ผนัง-ประตู กันเสียงรบกวน ก็ช่วยลดปัญหานี้ไปได้มากค่ะ )
มุมมอง ทัศนียภาพ : มุมมองกว้างไกล ได้วิวสวย เช่น วิวแม่น้ำ พื้นที่สีเขียว วิวเมืองย่าน CBC เป็นต้น
ความปลอดภัย : คอนโดพร้อมอยู่บางโครงการยังไม่ได้ใช้ระบบรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนา และการดูแลไม่ทั่วถึง อาจมีคนแอบปล่อยเช่ารายวัน จำนวนคนแปลกหน้าเข้าออกมาก มีโอกาสเสี่ยงมิจฉาชีพแอบขึ้นคอนโดแบบรอดพ้นสายตาหน่วยรักษาความปลอดภัยได้ ซึ่งในปัจจุบันโครงการแบบ High Rise หลายโครงการเริ่มมีระบบ scan ใบหน้าก่อนเข้าคอนโดซึ่งก็ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับคนอยู่อาศัยได้มากทีเดียวค่ะ
โอกาสรอดจากเพลิงไหม้ : จำนวนคนยิ่งมากก็ยิ่งยากต่อการควบคุม มีอุปสรรคและช้ากว่า Low Rise
รูปแบบห้อง : ด้วยจำนวนยูนิตมาก ทำให้มีตัวเลือกได้หลากหลายมากขึ้น ในเรื่องของวิว / แบบห้อง / ความสูงเพดาน ทำให้สามารถเลือกห้องที่ตรงความต้องการได้อีกขั้น มากกว่าคอนโดฯ Low-rise
ขนาดพื้นที่ส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวก : มีพื้นที่ส่วนกลางที่กว้างขวาง มีความหลากหลาย ได้วิวดี ระยะเวลาการรอลิฟท์นานเพราะจำนวนความหนาแน่นคนใช้งานเยอะ
ความสะดวกสบายในการเดินทาง : สะดวกสบาย เพราะส่วนใหญ่ตั้งอยู่ใกล้ รถไฟฟ้า ทางด่วน ถนนเส้นหลัก
พื้นที่จอดรถ : หลายโครงการทันสมัย มี Automatic Parking เพียงพอต่อผู้อาศัยและสะดวกสบาย
อัตราค่าส่วนกลาง : จำนวนยูนิตเยอะ จำนวนของผู้เยอะตามทำให้จะช่วยหารค่าธรรมเนียมส่วนกลางเยอะขึ้น ก็ไม่ต้องจ่ายค่าส่วนกลางแพง
ราคาซื้อขาย : ส่วนใหญ่อยู่ในทำเลดี ย่านธุรกิจ บางโครงการมีวิวสวยแบบประเมินค่าไม่ได้ แม้ราคาซื้อสูง แต่โอกาสขายทำกำไรในอนาคตได้สูงมากตามเช่นกัน
โดยรวม คอนโดแบบ High Rise เหมาะกับกลุ่มคนที่ต้องการความสะดวกสบายแบบครบครัน และมีกำลังซื้อ-จ่ายสูงเพราะส่วนใหญ่อยู่ในทำเลติดถนนใหญ่ ใกล้แนวรถไฟฟ้า มี Facilities หลากหลาย บรรยากาศดี วิวสวย แหล่งอาหารร้านค้ามีความอุดมสมบูรณ์ ส่งผลให้มีราคาต่อตารางเมตรสูงกว่าแบบ Low Rise และมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง คนจึงนิยมซื้อเพื่อการลงทุน เกร็งกำไรและปล่อยให้เช่ากันค่ะ ข้อจำกัดของคอนโดอาคารที่สูงมากๆ ก็คือ เรื่องความเสี่ยงตอนหนีตายเวลาเกิดอุบัติเหตุเพลิงไหม้นี่หล่ะค่ะ และการรอลิฟท์นานในเวลาเร่งรีบ
" คอนโด High Rise เหมาะกับกลุ่มคนที่มีความคล่องตัวต้องการความสะดวกสบายแบบครบครัน ทำเลดี ติดถนนใหญ่ ใกล้แนวรถไฟฟ้า มี Facilities หลากหลาย บรรยากาศดี วิวสวย ใกล้ห้างร้านค้า ของกินเพียบ ซื้อเพื่อลงทุนมีโอกาสทำกำไรได้สูงในอนาคต "
ลักษณะคอนโดแบบ Low Rise
จำนวนยูนิต : ส่วนใหญ่ไม่เกิน 300 – 500 ยูนิต
ทำเล : ส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในซอย เส้นทางลัดเลี่ยงรถติดได้ แต่ห่างแนวรถไฟฟ้ามากกว่า High Rise
( กฎหมายกำหนดให้ ที่ดินต้องมีทางเข้า–ออกติดถนน กว้างขนาด 6 - 10 เมตร )
บรรยากาศ : ได้เปรียบด้านความเป็นส่วนตัว สงบ ไม่ค่อยได้ยินเสียงรถวิ่งไปเท่าติดถนนใหญ่ แต่ถ้าอยู่ห้องชั้น 2-3 ก็จะได้ยินรบกวนจากรถจอด หรือที่สัญจรไปมาด้านล่าง และฝุ่นละอองจากสิ่งแวดล้อมโดยรอบ
มุมมอง ทัศนียภาพ : อาจถูกบดบัง สวยงามไม่เท่า High Rise แต่ก็มีความคุ้มค่าสมราคา
ความปลอดภัย : ส่วนใหญ่แล้วด้วยจำนวนยูนิตและคนอยู่อาศัยน้อย พี่ยามสอดส่องได้ทั่วถึง เขาช่วยสังเกตุ ระมัดระวังแทนลูกบ้านได้ แต่บางโครงไม่มีการตรวจสอบตอนเข้า-ออก หรือ scan บัตร ก็ทำให้สุ่มเสี่ยงเรื่องความปลอดภัยได้เช่นกัน
โอกาสรอดจากเพลิงไหม้ : จำนวนคนไม่หนาแน่น เวลาวิ่งลงทางบันไดหนีไฟไม่เกิดอันตราย จนเหยียบ ยื้อแย่งกันเท่า High Rise มีโอกาสรอดมากกว่า หากติดตามชั้นต่างๆ การเข้าถึงได้ความช่วยเหลือได้รวดเร็ว
ขนาดพื้นที่ส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวก : มีพื้นที่กระทัดรัด เพียงพอกับความต้องการผู้อยู่อาศัย แต่ไม่หลากหลาย และเนื่องจากจำนวนยูนิตไม่มาก ระยะเวลาการรอลิฟท์ไม่นาน ถ้าไม่มีคนกดค้าง ( Hold ) ไว้นะคะ ฮ่าๆ
ความสะดวกสบายในการเดินทาง : อยู่ห่าง BTS ส่วนใหญ่อยู่ในซอย ต้องมีรถส่วนตัว หรือใช้บริการพี่วิน
พื้นที่จอดรถ : เนื่องจากเป็นคอนโดที่มีความสูงจำกัด ส่วนใหญ่ที่มีจอดรถชั้นเดียว และมีพื้นที่จอดจำกัด
อัตราค่าส่วนกลาง : อาจมีปรับขึ้นถ้าจำนวนคนอยู่อาศัยไม่ถึงเกณฑ์ ( น้อยกว่า 70% ) ก็ต้องปรับค่าส่วนกลางให้เพียงพอต่อค่าบำรุงดูแลส่วนกลางในแต่ละเดือนนั่นเอง
ราคาซื้อขาย : มีแนวโน้มถูกกว่า High Rise จะปล่อยขายหรือให้เช่าได้ง่ายกว่า High Rise
" ถึงแม้ คอนโด Low Rise มีข้อจำกัดเรื่อง ห่างไกลขนส่งสาธารณะ ถนนแคบบ้าง วิวไม่สวยสบายตาเท่า High Rise แต่ราคาไม่แพงมาก เหมาะแก่การซื้อเพื่ออยู่อาศัย ได้ความเป็นส่วนตัว ซื้อง่ายขายคล่อง "
เป็นยังไงกันบ้างคะกับข้อมูลคอนโด High Rise กับ Low Rise ที่ Genie แชร์ หวังว่าน่าจะพอเป็นแนวทางให้คุณเลือกแบบคอนโดเบื้องต้นได้ ทั้งนี้รูปแบบอาคารจะเป็นเพียงด่านแรกในการคัดกรองอาคารเท่านั้น คุณจะต้องพิจารณาด้านอื่นๆของโครงการนั้นประกอบกันด้วยนะคะ อาทิ แนวคิดดีไซน์, คุณภาพวัสดุ, แปลนห้อง/ขนาด, ความน่าเชื่อถือของ Developer, ความร่มรื่นของโครงการ ฯลฯ เพราะบางโครงการที่เป็นอาคารแบบ Low Rise อาจจะมีทำเลที่ดีมากและน่าลงทุนกว่าแบบ High Rise ในบางแห่งก็เป็นได้ ซึ่งถ้าโครงการไหนมีภาพระบบ VR Tour ให้คุณดูห้องตัวอย่างและจุดต่างๆของโครงการได้ ก็ช่วยคัดกรอง ลดเวลา ลดเสี่ยงโควิดไปได้เยอะเลยหล่ะค่ะ